ผังการแสดง & รอบการแสดง
หมายเหตุ : แสดงบัตรประชาชนหรือ PASSPORT สำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เพื่อซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในงาน
รายละเอียด
กลับมาอีกครั้งสำหรับวงดนตรีที่ดีที่สุดของวงการร็อค / ฟิวชั่น ในโลก
กับวง THE ARISTOCRATS
Super group of Instrumental Rock / Fusion
กับ คำว่า “superband”ซึ่งวนเวียนไปมาในวงจรของนักดนตรีที่มีฝีมือมารวมกันเต็มไปด้วย ทรัพยากรทางฝีมือและไอเดียที่ไม่จำกัดของนักเล่นชั้นเลิศที่มารวมตัวกันเป็น วงแต่ในบางครั้งนิยามบางส่วนของวงดนตรีเหล่านั้นกลับกลายเป็นความสมจริงและ โดดเด่นขึ้นมาจากวงในรูปแบบเดียวกันThe Aristocrats เป็นหนึ่งในกรณีนั้น Guthrie Govan มือกีตาร์ ตามด้วย Bryan Beller มือเบส และ MarcoMinnemann มือกลองเหล่านักดนตรีผู้ซึ่งท้าทายและสนุกสนานไปกับการเป่านิยามของ “superband” ให้แตกเป็นชิ้นๆสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ฟังและแฟนๆทั่วโลกด้วยส่วนผสมทาง เคมีอันน่าอัศจรรย์ของสมาชิกวงซึ่งฝีไม้ลายมือเฉพาะของแต่ละคนทำให้ได้ผล ลัพทธ์ที่น่าสนใจกว่าการรวมกันเสียอีก
ลองมาดูผลงานของนักดนตรีทั้งสามของวง
Guthrie Govan ถูกจัดให้เป็นมือกีตาร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในระดับนานาชาติคนหนึ่งใน โลกทุกวันนี้และในปี 2006 อัลบั้ม Erotic Cakes ซึ่งเป็นอัลบั้มเดี่ยวของเขาถูกจดจำในฐานะผลงานคลาสสิคอีกชิ้นหนึ่ง ประสบการณ์ในการทัวร์คอนเสิร์ตอันสุดยอดของเขากับวง Asia, GPS, StevenWilson เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของตารางชีวิตที่แสนวุ่นวายของเขาเช่นเดียวกับงานสอน หรือการทำกีตาร์คลินิคของเขาทั่วโลกและเขายังได้มีโอกาสขึ้นปกนิตยสาร Guitar Player ในเดือนตุลาคมปี 2012
BryanBeller มีเครดิตอยู่มากมายรวมถึงมือกีตาร์อย่าง Steve Vai, Joe Satriani, Mike Keneally (Frank Zappa), และวงเมทัลสุดดังอย่าง Dethlokโดยแจ้งเกิดจาก รายการทีวี Metalocalypse ผลงานที่มีคือออกซีดีสามชุดสองดีวีดี และหนังสือแนะนำบทเรียนของสำนักพิมพ์Alfred ได้มีโอกาสร่วมลงปกนิตยสารBass Player เดือนตุลาคม 2012
MarcoMinnemann ถูกยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่แฟนคลับและผู้ติดตามว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์หัว ก้าวหน้า และเป็นคนรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองคนหนึ่งของโลกเขาได้ขึ้นปกนิตยสารกลองหลาย ฉบับรวมถึงนิตยสาร Modern Drummer และเขายังสนุกกับการเป็นมือปืน (มือกลอง) อรรถประโยชน์ให้คนอีกมากมาย (Adrian Belew, UKZ, Steven Wilson, JoeSatriani, Necrophagist) สิ่งที่คุณอาจไม่รู้มาก่อนคือเขาเป็นนักดนตรีที่เล่นได้หลากหลายเครื่องและ ยังเป็นนักประพันธ์ไฟแรงที่มีอัลบั้มเดี่ยวและดีวีดีรวมกันเกือบ20 ชิ้นในปัจจุบัน
จากการที่แต่ละคนมีความสนใจและแนวทางในชีวิตที่แตก ต่างกันการรวมวงของ The Aristocrats นั้นจึงเกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัวโดย Beller และ Minnemann มีกำหนดการเล่นทรีโอในการแสดงที่NAMM ประจำฤดูหนาวที่ Anaheim แคลิฟอเนียในเดือนมกราคม 2011 และมือกีตาร์ของพวกเขาไม่สามารถมาเล่นได้ทันในนาทีสุดท้าย Govan จำต้องมาเป็นนักดนตรีแทนไปเสียก่อนซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้มาเล่นด้วยกันใน คืนก่อนการแสดงกระแสไฟฟ้าดูแปลกไปทันทีด้วยอิทธิพลของคนไม่รู้จักที่แลก เปลี่ยนพลังงานกันผ่านการเล่นดนตรีด้วยความรวดเร็วรุนแรง,ความสนุกสนานของ การเล่นและแม้แต่แง่มุมลูกเล่นต่างๆที่ถูกนำมารวมกันของเครื่องดนตรีปฏิ กริยาตอบรับของผู้ชมออกมาดีเกินความคาดหมายทั้งที่วงรวมตัวกันภายใต้ เงื่อนไขอันเร่งรีบ“เคมีที่ออกมานี่มันยอดเยี่ยมไปเลย” Govan กล่าว“เมื่อตอนที่เราลงจากเวทีและทุกคนก็ต่างพูดกันว่า 'นี่มันใช้ได้เลยนะเราควรจะเอามันมาทำอัลบั้มกัน'”
สามเดือนให้หลัง ทางวงมีการประชุมกันตัวต่อตัวด้วยการละทิ้งรูปแบบการแลกเปลี่ยนการควบคุมใน การเล่นต่างๆเพื่อให้คงไว้ซึ่งเคมีและสัญชาติญาณของการเล่นที่ให้พลังของการ เล่นสดคงอยู่ในอัลบั้มซึ่งมีเพลงทั้งหมด 9แทรคโดยแบ่งให้เป็นเพลงของสมาชิกแต่ละคนไปโดยส่วนประกอบของเพลงมาจากการ หลอมรวมอิทธิพลของดนตรีที่แต่ละคนชอบตั้งแต่การรวมกันของแจซ-ร็อค ยุค 70 Return To Forever และ MahavishnuOrchestra ไปจนถึง โฟรเกรซซีฟร็อค King Crimson และ UK หรือกีตาร์ฮีโรอย่างSteve Vai และ Joe Satriani ไปยังดนตรีที่จับต้องได้ยากและซับซ้อนเหน็บแนมและเสียดสีของ Frank Zappa และ Mike Kenally แม้แต่ กรูฟของเมทัลยุค 90 อย่างเช่น RageAgainst The Machine
Beller พูดเกี่ยวกับเสียงของวงเอาไว้ว่า“เรามาจบลงตรงที่การใช้อิทธิพลที่แตกต่าง ของแต่ละคนมาเขียนเพื่อให้เพื่อนร่วมวงเล่นกันเองผมเขียน “Sweaty Knockers” เป็นพิเศษสำหรับ Guthrie เพื่อความสนุกสนานของเขาในขณะที่เขาเขียน “I Want A Parrot” พร้อมกับการมีเบสลีดนำในใจไว้อยู่แล้ว สำหรับวัตถุดิบของนั้น Marcoพวกเรารู้สึกโชคดีที่สามารถเล่นมันออกมาได้”
เพลงที่ชื่อออกจะ ร้ายกาจของMinnemann อย่างเช่น “Boing!... I'm In The Back” มาจากเหตุการณ์ของอุบัติเหตุที่สุดแสนจะคลุมเครือในรัซเซีย และ “BluesFuckers” ซึ่งหมายถึงรูปแบบดนตรีบลูส์ที่ถูกหักล้างในทุกวิถีทางที่จะจินตนาการได้และ เพลงของ Beller “Sweaty Knockers” ที่ทำให้ Govan แปลกใจว่าทำไมเพวกเขาถึงจะไม่ใช้ชื่อวงว่า The Aristocrats หลังจากการเล่นมุขตลกของผู้ใหญ่และภาพยนตร์ที่มีชื่อเดียวกัน มันลงตัวและ The Aristocrats ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา
หลังจากออกขายเพียง 8วัน The Aristocrats [BOING,2011] ถูกยกย่องให้เป็นอัลบั้มคลาสสิคชั้นนำไปทั่วโลกโดยปรากฏชื่อเป็นอัลบั้มยอด นิยม10อันดับประจำปีของหลายสำนัก Guthrie Govan พบตัวเขาเองบนปกของนิตยสารกีตาร์ทั่วโลกโรงเรียนดนตรีเป็นที่หนึ่งที่ได้รับ ผลกระทบอย่างชัดเจนด้วยกระแสของผู้เรียนที่อยากจะเล่นเพลงคัฟเวอร์ของ Aristocrats เช่นเดียวกันกับ Passion And Warfare ของ Steve Vai ที่เป็นแรงบันดาลใจนักเล่นมาหลายยุคสมัย ภายในเวลาไม่ถึงปีจากวงที่มีงานแสดงเล็กน้อยกลายมาเป็นวงที่ถูกเรียกหามาก ที่สุดวงหนึ่งในการแสดงสดของดนตรีร็อค/ฟิวชัน ของโลก
18เดือน ต่อมาวงประสบความสำเร็จในการทัวร์ทั้งเมืองแถบชายฝั่ง และทั้สองฟากตะวันตกและตะวันออกของอเมริกา แคนาดาตะวันออก สหราชอาณาจักร กลุ่มประเทศBenelux ฝรั่งเศส สเปน สวีเดน อิตาลีเยอรมันนี โปแลนด์ โครเอเชีย ตุรกี กรีซ อิสราเอล เกาหลี และญี่ปุ่นพลังแห่งการเล่นสดของวงและความเข้ากันได้ของเคมีนักดนตรีนั้นถูก บันทึกไว้ใน DVD/2CDในชื่อ BOING, We'll Do It Live! The Aristocrats At AlvasShow Room [BOING,2012]
ในปี 2013 ทางวงก็ได้ปล่อยอัลบั้มที่สองที่ผู้คนต่างรอคอย Culture Clash ซึ่งเป็นการพาดพิงความแตกต่างของชนชาติที่ร่วมกันทำวงขึ้นมาโดย Govanเป็นชาวอังกฤษ Beller เป็นอเมริกันและ Minnemannเป็นเยอรมัน และยังเป็นการอ้างอิงฉากหนึ่งจากภาพยนตร์ของพี่น้อง Coenเรื่อง A Serious Man โดยพวกเขาได้ใช้องค์ประกอบเหมือนเดิมคือใช้ 3 เพลงจากสมาชิกแต่ละคนแต่ถูกเสริมอาวุธด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้นจาก การออกทัวร์ร่วมกันสิบแปดเดือนผลของวัตถุดิบทางดนตรีเหล่านี้กลายเป็นความดุ เดือดของดนตรีที่มาขึ้น ความเข้มข้นการปลุกเร้าในดนตรีที่เพิ่มขึ้นทำให้เห็นถึงการปฏิเสธที่จะหยุด อยู่เพียงแค่ความสำเร็จของอัลบั้มแรกที่น่าประทับใจและโดยการร่วมกับดนตรี เทคโน-ฟิวชัน(“Dance Of The Aristocrats” ของ Minnemann) ไปยังเพลงแนวร็อคอบิลลีที่เต็มไปด้วยพลังที่อัดแน่นอย่าง“Louisville Stomp” ของ Beller จนถึงเพลงที่มีจังหวะที่เลื้อยไปมาของGovan และ Culture Clash ก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จบนบิลด์บอร์ดของแจซร่วมสมัยในลำดับที่8 โดยที่ไม่มีใครกล้าที่จะบอกในทันทีว่านี่คือวงแจซ(มันสนุกเกินแจซไปโข!)
2013 เป็นปีที่เห็นการทัวร์อเมริกาของพวกเขาอันยาวนานที่สุด6 สัปดาห์จากตะวันออก ไปยังตะวันตกกลาง ตะวันออกเฉียงใต้และเท็กซัส และในปี2014 วงวางแผนที่จะเปิดการแสดงในอเมริกาตะวันตกเฉียงใต้แคลิฟอเนีย แม็กซิโก ยุโรป อเมริกาใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หลังจากทัวร์ ครั้งนั้น ทางวงได้รวบรวมบันทึกการแสดงสดจาก 6 สถานที่ รวมเป็นอัลบั้มบันทึกการแสดงสดชุดที่สอง ในชื่อ Culture Clash Live! วางแผงในรูปแบบ CD และ DVD เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2015 และในวันเดียวกันนั้น พวกเขาก็ได้ปล่อยบันทึกการแสดงสดชุดที่ชื่อว่า Secret Show: Live in Osaka
ในระหว่างช่วงทัวร์ในเดือนมกราคม 2015 ทางวงได้เริ่มเตรียมทำสตูดิโออัลบั้มที่ 3 ที่มีชื่อว่า Tres Caballeros อัลบั้ม นี้ได้เริ่มอัดในเดือนกุมภาพันธ์ และวางแผงในวันที่ 23 มิถุนายน 2015 หลังจากออกอัลบั้มนั้น วงก็ได้ทัวร์อเมริกาเหนือในซัมเมอร์ปี 2015 ต่อมาพวกเขาก็ทัวร์ทั่วยุโรปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2015 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2016
ในปี 2016 พวกเขาได้ร่วมทัวร์กับ Joe Satriani และ Steve Vai ใน G3 tour
สิ่ง ที่เป็นกุญแจสำคัญของวงThe Aristocrats คือการที่เล่นเป็นวงอย่างแท้จริงไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นเรื่องของดนตรี การวางแผนการแสดง การบันทึกงานศิลปะและลำดับสิ่งที่ต้องทำการตัดสินใจทางธุรกิจ หรืออะไรก็แล้วแต่ซึ่งทุกคนมีสิทธิเท่ากันที่จะพูดจะแสดงออกมา Guthrieอาจจะกล่าวไว้ได้ถูกต้องที่สุดแล้วก็ได้ว่า“ประชาธิปไตยแบบนักเลงนัก ดนตรี”
มันไม่ใช่แค่แนวฟิวชันมันไม่ใช่แค่การ shredding มันไม่แม้แต่จะเป็นการเล่นที่เคร่งเครียดในช่วงเวลานั้นมันเป็นแค่เสียงของ ชายสามคนผู้ซึ่งทำเพลงออกมาตามแบบของตัวเองและพบว่าพวกเขามีอะไรบางอย่างใน เรื่องของดนตรีที่ลึกลงไปด้วยกันรวมถึงการตั้งชื่อเพลงที่มีเรต “ผู้ใหญ่ควรแนะนำ”(R) แล้วคุณจะเรียกพวกที่ทำตัวแบบนี้ว่าอย่างไรดีเล่า?
กับวง THE ARISTOCRATS
Super group of Instrumental Rock / Fusion
กับ คำว่า “superband”ซึ่งวนเวียนไปมาในวงจรของนักดนตรีที่มีฝีมือมารวมกันเต็มไปด้วย ทรัพยากรทางฝีมือและไอเดียที่ไม่จำกัดของนักเล่นชั้นเลิศที่มารวมตัวกันเป็น วงแต่ในบางครั้งนิยามบางส่วนของวงดนตรีเหล่านั้นกลับกลายเป็นความสมจริงและ โดดเด่นขึ้นมาจากวงในรูปแบบเดียวกันThe Aristocrats เป็นหนึ่งในกรณีนั้น Guthrie Govan มือกีตาร์ ตามด้วย Bryan Beller มือเบส และ MarcoMinnemann มือกลองเหล่านักดนตรีผู้ซึ่งท้าทายและสนุกสนานไปกับการเป่านิยามของ “superband” ให้แตกเป็นชิ้นๆสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ฟังและแฟนๆทั่วโลกด้วยส่วนผสมทาง เคมีอันน่าอัศจรรย์ของสมาชิกวงซึ่งฝีไม้ลายมือเฉพาะของแต่ละคนทำให้ได้ผล ลัพทธ์ที่น่าสนใจกว่าการรวมกันเสียอีก
ลองมาดูผลงานของนักดนตรีทั้งสามของวง
Guthrie Govan ถูกจัดให้เป็นมือกีตาร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในระดับนานาชาติคนหนึ่งใน โลกทุกวันนี้และในปี 2006 อัลบั้ม Erotic Cakes ซึ่งเป็นอัลบั้มเดี่ยวของเขาถูกจดจำในฐานะผลงานคลาสสิคอีกชิ้นหนึ่ง ประสบการณ์ในการทัวร์คอนเสิร์ตอันสุดยอดของเขากับวง Asia, GPS, StevenWilson เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของตารางชีวิตที่แสนวุ่นวายของเขาเช่นเดียวกับงานสอน หรือการทำกีตาร์คลินิคของเขาทั่วโลกและเขายังได้มีโอกาสขึ้นปกนิตยสาร Guitar Player ในเดือนตุลาคมปี 2012
BryanBeller มีเครดิตอยู่มากมายรวมถึงมือกีตาร์อย่าง Steve Vai, Joe Satriani, Mike Keneally (Frank Zappa), และวงเมทัลสุดดังอย่าง Dethlokโดยแจ้งเกิดจาก รายการทีวี Metalocalypse ผลงานที่มีคือออกซีดีสามชุดสองดีวีดี และหนังสือแนะนำบทเรียนของสำนักพิมพ์Alfred ได้มีโอกาสร่วมลงปกนิตยสารBass Player เดือนตุลาคม 2012
MarcoMinnemann ถูกยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่แฟนคลับและผู้ติดตามว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์หัว ก้าวหน้า และเป็นคนรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองคนหนึ่งของโลกเขาได้ขึ้นปกนิตยสารกลองหลาย ฉบับรวมถึงนิตยสาร Modern Drummer และเขายังสนุกกับการเป็นมือปืน (มือกลอง) อรรถประโยชน์ให้คนอีกมากมาย (Adrian Belew, UKZ, Steven Wilson, JoeSatriani, Necrophagist) สิ่งที่คุณอาจไม่รู้มาก่อนคือเขาเป็นนักดนตรีที่เล่นได้หลากหลายเครื่องและ ยังเป็นนักประพันธ์ไฟแรงที่มีอัลบั้มเดี่ยวและดีวีดีรวมกันเกือบ20 ชิ้นในปัจจุบัน
จากการที่แต่ละคนมีความสนใจและแนวทางในชีวิตที่แตก ต่างกันการรวมวงของ The Aristocrats นั้นจึงเกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัวโดย Beller และ Minnemann มีกำหนดการเล่นทรีโอในการแสดงที่NAMM ประจำฤดูหนาวที่ Anaheim แคลิฟอเนียในเดือนมกราคม 2011 และมือกีตาร์ของพวกเขาไม่สามารถมาเล่นได้ทันในนาทีสุดท้าย Govan จำต้องมาเป็นนักดนตรีแทนไปเสียก่อนซึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้มาเล่นด้วยกันใน คืนก่อนการแสดงกระแสไฟฟ้าดูแปลกไปทันทีด้วยอิทธิพลของคนไม่รู้จักที่แลก เปลี่ยนพลังงานกันผ่านการเล่นดนตรีด้วยความรวดเร็วรุนแรง,ความสนุกสนานของ การเล่นและแม้แต่แง่มุมลูกเล่นต่างๆที่ถูกนำมารวมกันของเครื่องดนตรีปฏิ กริยาตอบรับของผู้ชมออกมาดีเกินความคาดหมายทั้งที่วงรวมตัวกันภายใต้ เงื่อนไขอันเร่งรีบ“เคมีที่ออกมานี่มันยอดเยี่ยมไปเลย” Govan กล่าว“เมื่อตอนที่เราลงจากเวทีและทุกคนก็ต่างพูดกันว่า 'นี่มันใช้ได้เลยนะเราควรจะเอามันมาทำอัลบั้มกัน'”
สามเดือนให้หลัง ทางวงมีการประชุมกันตัวต่อตัวด้วยการละทิ้งรูปแบบการแลกเปลี่ยนการควบคุมใน การเล่นต่างๆเพื่อให้คงไว้ซึ่งเคมีและสัญชาติญาณของการเล่นที่ให้พลังของการ เล่นสดคงอยู่ในอัลบั้มซึ่งมีเพลงทั้งหมด 9แทรคโดยแบ่งให้เป็นเพลงของสมาชิกแต่ละคนไปโดยส่วนประกอบของเพลงมาจากการ หลอมรวมอิทธิพลของดนตรีที่แต่ละคนชอบตั้งแต่การรวมกันของแจซ-ร็อค ยุค 70 Return To Forever และ MahavishnuOrchestra ไปจนถึง โฟรเกรซซีฟร็อค King Crimson และ UK หรือกีตาร์ฮีโรอย่างSteve Vai และ Joe Satriani ไปยังดนตรีที่จับต้องได้ยากและซับซ้อนเหน็บแนมและเสียดสีของ Frank Zappa และ Mike Kenally แม้แต่ กรูฟของเมทัลยุค 90 อย่างเช่น RageAgainst The Machine
Beller พูดเกี่ยวกับเสียงของวงเอาไว้ว่า“เรามาจบลงตรงที่การใช้อิทธิพลที่แตกต่าง ของแต่ละคนมาเขียนเพื่อให้เพื่อนร่วมวงเล่นกันเองผมเขียน “Sweaty Knockers” เป็นพิเศษสำหรับ Guthrie เพื่อความสนุกสนานของเขาในขณะที่เขาเขียน “I Want A Parrot” พร้อมกับการมีเบสลีดนำในใจไว้อยู่แล้ว สำหรับวัตถุดิบของนั้น Marcoพวกเรารู้สึกโชคดีที่สามารถเล่นมันออกมาได้”
เพลงที่ชื่อออกจะ ร้ายกาจของMinnemann อย่างเช่น “Boing!... I'm In The Back” มาจากเหตุการณ์ของอุบัติเหตุที่สุดแสนจะคลุมเครือในรัซเซีย และ “BluesFuckers” ซึ่งหมายถึงรูปแบบดนตรีบลูส์ที่ถูกหักล้างในทุกวิถีทางที่จะจินตนาการได้และ เพลงของ Beller “Sweaty Knockers” ที่ทำให้ Govan แปลกใจว่าทำไมเพวกเขาถึงจะไม่ใช้ชื่อวงว่า The Aristocrats หลังจากการเล่นมุขตลกของผู้ใหญ่และภาพยนตร์ที่มีชื่อเดียวกัน มันลงตัวและ The Aristocrats ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา
หลังจากออกขายเพียง 8วัน The Aristocrats [BOING,2011] ถูกยกย่องให้เป็นอัลบั้มคลาสสิคชั้นนำไปทั่วโลกโดยปรากฏชื่อเป็นอัลบั้มยอด นิยม10อันดับประจำปีของหลายสำนัก Guthrie Govan พบตัวเขาเองบนปกของนิตยสารกีตาร์ทั่วโลกโรงเรียนดนตรีเป็นที่หนึ่งที่ได้รับ ผลกระทบอย่างชัดเจนด้วยกระแสของผู้เรียนที่อยากจะเล่นเพลงคัฟเวอร์ของ Aristocrats เช่นเดียวกันกับ Passion And Warfare ของ Steve Vai ที่เป็นแรงบันดาลใจนักเล่นมาหลายยุคสมัย ภายในเวลาไม่ถึงปีจากวงที่มีงานแสดงเล็กน้อยกลายมาเป็นวงที่ถูกเรียกหามาก ที่สุดวงหนึ่งในการแสดงสดของดนตรีร็อค/ฟิวชัน ของโลก
18เดือน ต่อมาวงประสบความสำเร็จในการทัวร์ทั้งเมืองแถบชายฝั่ง และทั้สองฟากตะวันตกและตะวันออกของอเมริกา แคนาดาตะวันออก สหราชอาณาจักร กลุ่มประเทศBenelux ฝรั่งเศส สเปน สวีเดน อิตาลีเยอรมันนี โปแลนด์ โครเอเชีย ตุรกี กรีซ อิสราเอล เกาหลี และญี่ปุ่นพลังแห่งการเล่นสดของวงและความเข้ากันได้ของเคมีนักดนตรีนั้นถูก บันทึกไว้ใน DVD/2CDในชื่อ BOING, We'll Do It Live! The Aristocrats At AlvasShow Room [BOING,2012]
ในปี 2013 ทางวงก็ได้ปล่อยอัลบั้มที่สองที่ผู้คนต่างรอคอย Culture Clash ซึ่งเป็นการพาดพิงความแตกต่างของชนชาติที่ร่วมกันทำวงขึ้นมาโดย Govanเป็นชาวอังกฤษ Beller เป็นอเมริกันและ Minnemannเป็นเยอรมัน และยังเป็นการอ้างอิงฉากหนึ่งจากภาพยนตร์ของพี่น้อง Coenเรื่อง A Serious Man โดยพวกเขาได้ใช้องค์ประกอบเหมือนเดิมคือใช้ 3 เพลงจากสมาชิกแต่ละคนแต่ถูกเสริมอาวุธด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้นจาก การออกทัวร์ร่วมกันสิบแปดเดือนผลของวัตถุดิบทางดนตรีเหล่านี้กลายเป็นความดุ เดือดของดนตรีที่มาขึ้น ความเข้มข้นการปลุกเร้าในดนตรีที่เพิ่มขึ้นทำให้เห็นถึงการปฏิเสธที่จะหยุด อยู่เพียงแค่ความสำเร็จของอัลบั้มแรกที่น่าประทับใจและโดยการร่วมกับดนตรี เทคโน-ฟิวชัน(“Dance Of The Aristocrats” ของ Minnemann) ไปยังเพลงแนวร็อคอบิลลีที่เต็มไปด้วยพลังที่อัดแน่นอย่าง“Louisville Stomp” ของ Beller จนถึงเพลงที่มีจังหวะที่เลื้อยไปมาของGovan และ Culture Clash ก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จบนบิลด์บอร์ดของแจซร่วมสมัยในลำดับที่8 โดยที่ไม่มีใครกล้าที่จะบอกในทันทีว่านี่คือวงแจซ(มันสนุกเกินแจซไปโข!)
2013 เป็นปีที่เห็นการทัวร์อเมริกาของพวกเขาอันยาวนานที่สุด6 สัปดาห์จากตะวันออก ไปยังตะวันตกกลาง ตะวันออกเฉียงใต้และเท็กซัส และในปี2014 วงวางแผนที่จะเปิดการแสดงในอเมริกาตะวันตกเฉียงใต้แคลิฟอเนีย แม็กซิโก ยุโรป อเมริกาใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หลังจากทัวร์ ครั้งนั้น ทางวงได้รวบรวมบันทึกการแสดงสดจาก 6 สถานที่ รวมเป็นอัลบั้มบันทึกการแสดงสดชุดที่สอง ในชื่อ Culture Clash Live! วางแผงในรูปแบบ CD และ DVD เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2015 และในวันเดียวกันนั้น พวกเขาก็ได้ปล่อยบันทึกการแสดงสดชุดที่ชื่อว่า Secret Show: Live in Osaka
ในระหว่างช่วงทัวร์ในเดือนมกราคม 2015 ทางวงได้เริ่มเตรียมทำสตูดิโออัลบั้มที่ 3 ที่มีชื่อว่า Tres Caballeros อัลบั้ม นี้ได้เริ่มอัดในเดือนกุมภาพันธ์ และวางแผงในวันที่ 23 มิถุนายน 2015 หลังจากออกอัลบั้มนั้น วงก็ได้ทัวร์อเมริกาเหนือในซัมเมอร์ปี 2015 ต่อมาพวกเขาก็ทัวร์ทั่วยุโรปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2015 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2016
ในปี 2016 พวกเขาได้ร่วมทัวร์กับ Joe Satriani และ Steve Vai ใน G3 tour
สิ่ง ที่เป็นกุญแจสำคัญของวงThe Aristocrats คือการที่เล่นเป็นวงอย่างแท้จริงไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นเรื่องของดนตรี การวางแผนการแสดง การบันทึกงานศิลปะและลำดับสิ่งที่ต้องทำการตัดสินใจทางธุรกิจ หรืออะไรก็แล้วแต่ซึ่งทุกคนมีสิทธิเท่ากันที่จะพูดจะแสดงออกมา Guthrieอาจจะกล่าวไว้ได้ถูกต้องที่สุดแล้วก็ได้ว่า“ประชาธิปไตยแบบนักเลงนัก ดนตรี”
มันไม่ใช่แค่แนวฟิวชันมันไม่ใช่แค่การ shredding มันไม่แม้แต่จะเป็นการเล่นที่เคร่งเครียดในช่วงเวลานั้นมันเป็นแค่เสียงของ ชายสามคนผู้ซึ่งทำเพลงออกมาตามแบบของตัวเองและพบว่าพวกเขามีอะไรบางอย่างใน เรื่องของดนตรีที่ลึกลงไปด้วยกันรวมถึงการตั้งชื่อเพลงที่มีเรต “ผู้ใหญ่ควรแนะนำ”(R) แล้วคุณจะเรียกพวกที่ทำตัวแบบนี้ว่าอย่างไรดีเล่า?
-
ช่องทางการจำหน่าย :
- Website
- Thaiticketmajor Outlets
- Thai Post
- Major Cineplex Outlets
- Call Center TTM 02-2623456
- Lotus's
- Big C