Diana Krall ศิลปินนักร้อง และนักเปียโน ชาวแคนาดา หนึ่งในศิลปินที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก เจ้าของห้ารางวัลแกรมมี่ กับการทำงานดนตรีมากว่า 20 ปี มีผลงานถึง 12 สตูดิโออัลบั้ม ความสำเร็จต่างๆ ไม่ได้ทำให้เธอหยุดที่จะแสวงหาการทำงานในฐานะที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับ Barbra Streisand หรือเป็นผู้ทำงานเรียบเรียงดนตรีให้กับ Paul McCartney หรือจะไปร่วมออกทัวร์กับ Neil Young เธอทำมาทั้งหมด และทำได้สมบูรณ์ในทุกฐานะจากมือเปียโน นักร้อง ออกทัวร์ไปทั่วโลก ไปจนถึงงานเบื้องหลัง ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นศิลปินหญิงสายแจ้สที่มียอดขายอัลบั้มมากที่สุดในช่วง30 ปีที่ผ่านมา
 
ผลงานอัลบั้มล่าสุด Wallflower ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เธอทำงานแบบไร้พรมแดนทางดนตรี เมื่อเธอนำเพลงโปรดของพ่อ และเพลงที่มาจากความทรงจำในวัยเด็กของเธอกับโลกของเพลงป็อป แรงบันดาลใจจากบทเพล งและเสียงดนตรีนำมาร้องและเล่นในแบบของเธอ โดยเป็นการร่วมงานของเธอกับ เดวิด ฟอสเตอร์ ที่ต่างดึงเอาความสามารถความถนัดมาสร้างความหมายใหม่ให้กับเพลงอย่าง California Dreaming (The Mamas and the Papas), Desperado (Eagles), I Can’t Tell You Why (Eagles), Sorry Seems To Be The Hardest Word (EltonJohn), I’m Not In Love (10cc), Don’t Dream It’s Over (Crowded House), If I TakeYou Home Tonight (Paul McCartney), Alone Again (Naturally) (Gilbert O'Sullivan), Wallflower (Bob Dylan) งานเพลงออกมาไม่ได้เรียบง่ายเป็นป๊อปแจ้ส แต่มันคือเสียงของดนตรีป๊อปที่เต็มในความรู้สึกถ่ายทอดผ่านเสียงร้องสุดวิเศษของ Diana Krall และการทำดนตรีในแบบที่เป็นเสียงป๊อปสวยพิสุทธิ์ของ เดวิด ฟอสเตอร์



Diana Krall เกิดในเมืองเล็กๆชื่ อ Nanaimo ในแคนาดาเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 1964 เสียงเพลงของ Fats Waller จากแผ่นเสียงเพลงของคุณพ่อที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กกับเสียงเปียโนของแม่และคุณยายเป็นแรงบันดาลใจแรกของเธอ แต่พ่อและแม่ของเธอก็ไม่เคยอยากให้ลูกเดินบนเส้นทางสายศิลปิน เธอเริ่มเล่นเปียในตั้งแต่อายุ 5 ขวบโดยเริ่มเรียนและฝึกที่บ้านคุณยายของเธอหลังโรงเรียนเลิก เธอเรียนเปียโนคลาสสิค แต่ได้เล่นเปียโนแจ้สกับวงของโรงเรียนโดยมีอาจารย์และมือเบสชื่อ Bryan Stovell เป็นครูในขณะนั้น พออายุ 15 ปีเธอก็มีงานครั้งแรกกับการแสดงที่ร้านอาหารในบ้านเกิด สองปีต่อมาในวัย 17 ได้ทุนไปเรียนดนตรี Berklee College of Music ในบอสตันสหรัฐฯ กลับมาบ้านในปี 1982เธอมีโอกาสเข้าคอร์สดนตรี Jazzcamp และได้ดูโชว์ของ Jef fHamilton มือกลองของวง LA4 และ Ray Brown มือเบสระดับตำนาน และนั่นทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล สองศิลปินรุ่นพี่ชอบลีลาการร้องการเล่นและเห็นแววของไดอานาและไปบอกครอบครัวของของเธอให้เชื่อว่าลูกสาวคนนี้จะต้องประสบความสำเร็จในสายดนตรีแน่นอน ซึ่งต่อมาเธอก็ได้ทุนอีกครั้งจาก Canada Arts Council เพื่อมาศึกษาต่อในแอลเอ ที่นั่นเธอได้ครูดีคือ Jimmy Rowles มือเปียโนที่เคยเล่นกับนักร้องดังเช่น Billie Holiday และ PeggyLee ช่วยให้เธอยังพัฒนาทั้งการเล่นและเสียงร้องจากการแนะนำของเขาจนได้ออกแสดงหลายแห่งในแอลเอ ในปี 1984กลับมาเรียนกับ Don Thompson มือเบสและเปียโนฝีมือดีอีกคนอีกคนในเมืองโตรอนโต้ หลังจากนั้นในปี 1990 เธอเดินทางไปนิวยอร์คเพื่อไปเรียนต่อกับ Mike Renz I และเล่นดนตรีในแบบวงทรีโอในย่านบอสตัน ปี 1993 เธอมีผลงานอัลบั้มแรก Stepped Out งานในแจ๊สทรีโอที่ได้รับคำชอบไปมากมายจากนักวิจารณ์ และไปเข้าตาค่ายเพลงใหญ่ในยุคนั้นคือ GRP 1994 ออกผลงานอัลบั้มที่สองกับค่าย GRP ในชื่อ Only Trust Your Heart งานที่สะท้อนความแรงในตัวตนของเธอในฐานะนักร้องนักดนตรีรุ่นใหม่และครั้งนี้เธอยังได้ทำงานกับผู้ที่มีส่วนผลักดันเธอคือ Ray Brown มาเล่นเบสในอัลบั้มนี้หลายเพลง ปีต่อมา 1994 ออกอัลบั้ม All For You งานที่เป็นการคารวะให้กับ Nat King Cole Trio งานนี้มีมือกีตาร์ฝีมือดีอย่าง Russell Malone มาร่วมแจม เพลงเด่นๆอย่าง Gee Baby, Ain't I Good to You ปีต่อมาเธอออกอัลบั้ม Love Scenes งานทรีโอที่มี Christian McBride มาเล่นเบสและ Russell Malone เล่นกีตาร์เช่นเคย มีเพลง How Deep Is the Ocean (How High Is the Sky) เป็นเพลงเอกของอัลบั้มนี้ ปี 1998 ออกอัลบั้มที่ห้า When I Look In Your Eyes งานที่มี Tommy LiPuma และ Al Schmitt มาดูแลการผลิตและเป็นงานที่ทำให้เธอคว้ารางวัลแกรมมี่เป็นครั้งแรกในสาขา Best Jazz Vocal Performance และ Best Engineered Album และเป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานกับ David Foster ในเพลงพิเศษของอัลบั้ม Why Should I Care? อัลบั้มต่อมาในปี 2002 กับ The Look of Love งานที่นำเพลงดังอมตะอย่าง S Wonderful, Besame Mucho, The Look of Love มาทำใหม่กับวงออร์เคสตราในการอำนวยเพลงของ Claus Ogerman อัลบั้มนี้ได้รับรางวัลแกรมมี่สาขา Best Engineered Album และเป็นงานที่ส่งให้เธอมีชื่อเสียงไปทั่วโลก  




ปีต่อมาเธอออกอัลบั้มแสดงสดเป็นครั้งแรกกับ Live in Paris งานที่แสดงให้เห็นความสามารถทั้งร้องทั้งเล่นของเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ 12 เพลงที่คัดมาในแบบ Great American Songbooks ทำให้เธอรับรางวัลสาขา Best Jazz Vocal Performance ไปอีกครั้ง ปี 2004 ออกอัลบั้ม The Girl in the Other Room 

ผลงานนี้เป็นอัลบั้มที่มีเพลงแต่งใหม่โดยเธอและ Elvis Costello มาใส่ไว้เป็นหลักและเกือบทั้งอัลบั้มเป็นงานเพลงจากโลกของเพลงร็อคกับเพลงจากศิลปินอย่าง Tom Waits, Joni Mitchell, Bonnie Raitt มีเพลงเด่นอย่าง Narrow Daylight ปี 2005 ออกผลงานเพลงคริสต์มาสในชื่อ Christmas Songs โดยนำเพลงเทศกาลที่คุ้นหูมาร้องใหม่และมีเพลงดังอย่าง Jingle Bells ในเวอร์ชั่นสวิงมาฝากแฟนเพลง ถัดมาหนึ่งปีก็ออกอัลบั้มใหม่ From This Moment On อีกครั้งที่เธอกลับไปถ่ายทอดงานในแบบ American Songbooks ด้วยวัยและความสามารถทำให้งานชุดนี้ประสบความสำเร็จและได้รับคำชมอย่างมากทั้งจากแฟนเพลงและนักวิจารณ์  ปี 2009 ไดอาน่าได้เวลาบอสซ่าในอัลบั้ม Quiet Nights เธอเลือกนำเพลงเด่นหลายเพลงของ Antonio Carlos Jobim นักแต่งเพลงชื่อดังชาวบราซิลมาขับร้อง และกลับมาทำงานร่วมกับ Claus Ogerman อีกครั้ง ผลงานอัลบั้มนี้ยังคว้าแกรมมีในสาขา Best Instrumental Arrangement Accompanying Vocalist มาครองอีกด้วย สามปีต่อมาในอัลบั้ม Glad Rag Doll เธอพาเราย้อนยุคกับไปหาดนตรีในยุค 1920 –1930 และเป็นการทำงานกับโปรดิวเซอร์ฝีมือดีอย่าง T-Bone Burnett มีเพลงไพเราะอย่าง Lonely Avenue ล่าสุดเธอโดดเข้าหาดนตรีป็อปอย่างเต็มตัวกับอัลบั้ม Wallflower งานที่มี David Foster ดูแลการผลิตและมี Michael Bublé และ Bryan Adams มาร่วมร้องในอัลบั้ม 20 กว่าปีบนเส้นทางศิลปิน Diana Krall มีผลงานจำหน่ายไปมากกว่า 22 ล้านอัลบั้ม เธอประสบความสำเร็จสูงสุดทั้งในฐานะนักร้อง นักเปียโน และการแสดงสดที่เหมือนเป็นหัวใจของดนตรีสายนี้

TTM UPDATE

ดูเพิ่มเติม